The Legend & Butterfly (2023) Full HD 24 ช.ม. KUBHD.COM

The Legend & Butterfly

The Legend & Butterfly โอดะ โนบูนางะ สมรสกับโนฮิเมะ ซึ่งอยากที่จะให้เขาตาย แม้กระนั้นเมื่อบิดาของนางเสียชีวิตลง เขาเป็นผู้ทำให้นางต้องการมีชีวิตอยู่ถัดไป แล้วก็เมื่อตกอยู่ในเรื่องราวฉุกเฉิน นางเป็นอย่างยิ่งหัวใจให้เขา ทั้งสองร่วมมือกันจนกระทั่งเอาชนะศึกโอเกะฮาซามะแล้วก็มีความต้องการที่จะสะสมแผ่นดินให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้กระนั้นถัดมาเขาเปลี่ยนเป็น “ราชาปีศาจ” กระทั่งนำมาซึ่งเหตุที่ฮนโนจิ แล้วอะไรเป็นความฝันที่จริงจริงของคนทั้งสองตลอดระยะเวลา 30 ปี ที่อยู่ร่วมกัน

มาแนะนำหนังฟอร์มใหญ่จากญี่ปุ่นสักนิดสักหน่อย หัวข้อนี้เพิ่งลงโรงฉายไปเมื่อตอนปีใหม่ 2023 ที่ผ่านมาในประเทศประเทศญี่ปุ่น นี่เป็น ที่เป็นการโคจรมาพ่นไฟทางการแสดงร่วมกันของ 2 ซุปตาร์ญี่ปุ่น “ทาคุยะ คิมูระ” กับ “ฮารุกะ อายาเสะ” ที่เห็นเพียงแต่ชื่อกรุ๊ปนักแสดงรวมทั้งผู้สร้างก็จะต้องมุ่งมาดสูงเสียแล้ว แม้หนังแนวนี้จากญี่ปุ่นจะไม่ค่อยเป็นที่คุ้นของคนไทยเยอะมากมายสักเท่าไหร่ แม้กระนั้นเมื่อทดลองเปิดใจสัมผัสมองดู ก็จะพบว่า

คะแนนความสนุกสนานของ Concrete Utopia ส่วนตัวให้อยู่ที่ 7/10 The Legend & Butterfly ให้แต้มสูงมากมายหน่อยในส่วนของเค้าเรื่องที่น่าดึงดูด การแสดงของผู้แสดงที่จัดจ้าในบริเวณนี้ ไม่ขัดลูกตา เรื่องราวเข้าใจง่าย บางครั้งก็อาจจะลบคะแนนในเล็กน้อยที่คิดว่าเกินจริงไปบ้าง หรือความอุตสาหะที่จะเป็นหนังชิงออสการ์มากจนเกินความจำเป็นนิด แม้กระนั้นเรื่องราวกลับทายใจได้อย่างง่ายๆ ไม่กลับโผ ไม่เซอร์ไพรส์ ก็เลยทำให้มิได้ตรึงใจแบบเต็มแผนภูมิ แม้กระนั้นนอกจากนั้นนับว่าทำเป็นดีแล้วก็เป็นหนังที่มองบันเทิงใจแบบมิได้ปวดศีรษะมากมายขนาดนั้นอีกหนึ่งเรื่อง

The Legend & Butterfly' Review: Takuya Kimura & Haruka Ayase Reunite for  Epic Love Story (Japan Cuts 2023) – NanteJapan

The Legend & Butterfly (2023)

เกิดเหตุราวในตอนศตวรรษที่ 16 โนบุนางะ โอดะ แม่ทัพอันมีชื่อเสียงดินแดนอาทิตย์อุทัย กับนิสัยรักสนุกและไม่เอาไหน เขามีฉายาว่า ‘ไอ้งั่งที่โอวาริ’ และถูกจับแต่งงานกับ โนฮิเมะ ด้วยเหตุผลทางการเมือง แรกพบทั้งคู่ไม่ถูกกันเลย ซ้ำยังมีนิสัยที่แตกต่างสุดๆ ตราบจนกระทั่ง โยชิโมโตะ อิมากาวะ ได้เคลื่อนทัพมาโจมตีเมืองที่เขาดูแลอยู่ แม้กระนั้นเนื่องจากกองทัพจำนวนเป็นอันมากไม่สามารถต่อต้านได้ โนบุนางะโกรธแค้น หากแม้มีแค่เพียงโนฮิเมะที่มหาศาลหัวใจและให้คำแนะนำ ทำให้เขาไม่พึ่งหดหู่และนำไปปรับใช้เป็นเล่ห์เหลี่ยมการสู้รบกลับคืนกองทัพของศัตรู ด้วยหวังจะรวมแผ่นดินให้มั่นคงและยิ่งใหญ่

นี่ได้ผลสำเร็จหน้าที่ผลิตสรรค์ของผู้กำกับมีชื่อ “เคอิชิ โอโตโมะ” จากเฟรนไชส์หนังซามูไรร่อนเร่พเนจร (Rurouni Kenshin) ทุกภาค แน่นอนว่าเขามีประสบการณ์มารับสิบปี อีกทั้งยังเคยเด่นการงานสร้างหนังแนวไทกะมาด้วย ทำให้เขารู้จังหวะและก็มุมมองที่เหมาะที่จะหยอดกับใส่อะไรที่ประจวบเหมาะเข้ามาในหนังประเด็นนี้ เพียงแต่ว่ายังแอบเสียดายนิดๆตรงที่หนังขาดองค์ประกอบของความกระชับไปสักหน่อย ด้วยความที่นี่แปลงเป็นหนังเอพิคที่มีความยาวเกือบจะ 3 ชั่วโมง โดยที่เกือบไม่มีอะไรขับออกมาเป็นข้อดีได้เลย

หนังได้ “เรียวตะ โกซาวะ” นักเขียนฝีมือยอดเยี่ยมที่เรารู้จักผลงานของเขาจากเรื่อง Always: Sunset on Third Street ที่เป็นงานแจ้งเกิดของเขานั่นเอง นี่ถือได้ว่าเป็นการกลับมาเขียนบทหนังแนวไทกะของเขาอีกครั้งในรอบยาวนานหลายปี และยังเป็นอิสระม์ไลน์ที่ย้อนยุคกลับไปกลับมากๆจากเรื่อง Always อย่างยิ่งจริงๆบทหนังของเขาค่อนข้างจะราบเรียบ ดำเนินเรื่องไปแบบทีละลำดับทีละตอน อีกทั้งยังหาจุดเด่นที่สำคัญได้ไม่เด่นชั้นสักเท่าไหร่นัก

แต่ว่าบทหนัง ก็มีเอกลักษณ์ในการชูเรื่องราวความข้องเกี่ยวของตนออกมาได้เป็นอย่างดี คล้ายกับเป็นสูตรสำเร็จแบบที่นักเขียนผู้นี้เคยทำเอาไว้ได้เสร็จจาก Always นั่นแหละ The Legend & Butterfly แต่นอกจากความละมุนในความสัมพันธ์ความเชื่อมโยงระหว่างตัวละครแล้ว กลับยังมองไม่เห็นมิติอะไรอื่นๆในประเด็นนี้ เพราะเหตุว่าการรบทัพจับศึกและเชิงประวัติศาสตร์ต่างๆที่ใส่เข้ามา

ก็นำพามาแบบผิวเผินไปสักหน่อยโดยเหตุนั้น ก็เลยแทบไม่ต่างไปจากละครโรงใหญ่ หรือ ลิเกฉบับญี่ปุ่น ที่เนื้อไม่ค่อยเน้นมากสักเท่าไรนัก ใส่น้ำเข้ามาให้คนซื้อได้อิ่มแบบจุกๆก็นับได้ว่าเป็นองค์ประกอบที่น่าผิดหวังอยู่เบาๆเพราะเหตุว่าช่วงท้ายเมื่อหนังฉายจบลงไปแล้ว เราแทบจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับหนังเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก เพราะข้อความสำคัญที่ดูราวกับว่าแจ่มกระจ่างแม้กระนั้นยังไม่ชัดเจน ความเลอะเลือนสำหรับเพื่อการเล่าที่ไม่ได้ชักชวนให้เข้าถึงอารมณ์

The Legend And Butterfly' (2023) Ending, Explained: Did Nobunaga And Nohime  Meet Again? | Film Fugitives

รีวิว

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หนัวแนวโทกะจากญี่ปุ่นอาจจะค่อนจะไกลตัวของผู้ชมในไทยไปนิดหน่อย โน่นก็เลยเป็นคำตอบของปัญหาที่ว่าทำไมเกือบไม่เคยเห็นหนังญี่ปุ่นแนวนี้มาฉายในบ้านเราเลย ด้วยเหตุว่าตัวหนังค่อนจะมีความเฉพาะตัวอยู่พอสมควร ทั้งยังเอกลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ และอาการการเล่าเรื่องที่ไม่สามารถตีปัญหาให้แตกได้ในระดับสากลนั่นเอง

แต่ว่าก็นับว่ายังโชคดีพอใช้ได้ ที่ได้นักแสดงระดับแม่เหล็กมาช่วยเอาไว้ ทาคุยะ คิมูระ ซุปตาร์ดาวค้างฟ้าของญี่ปุ่น ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลยในประเด็นนี้ เขาบอกให้เห็นแล้วว่านี่เป็นดารามืออาชีพตัวจริง เขาสามารถเข้าถึงหน้าที่ผู้แสดงได้อย่างแจ่มแจ้ง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามนับตั้งแต่จากเปิดตลอดกาลจวบจนกระทั่งฉากปิด เขาสามารถแบกหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้อยู่หมัด

ด้วยเนื้อเรื่องที่พูดถึงเชื้อชาติ และชนชั้นวรรณะค่อนข้างชัดเจน จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า The Childe เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ตอกย้ำเรื่องเหล่านี้เหมือนกับภาพยนตร์และซีรีส์หลายๆ เรื่องของเกาหลี ไม่ว่าเป็น Parasite หรือ Squid Game ซึ่งล้วนแล้วแต่โด่งดังและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างโลกทั่วโลก อาจไม่ได้เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงอะไรใหม่ๆ แต่เป็นการเล่าถึงเรื่องเดิมๆ ในรูปแบบใหม่ ผ่านเนื้อเรื่องของอาชีพ “นักฆ่ามืออาชีพ” ที่เป็นส่วนผสมของหนังแอคชั่นที่คนดูส่วนใหญ่ชื่นชอบ แต่ก็ทำให้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าไลน์แอ็คชั่นที่จัดเต็มจะกลบในสิ่งที่ผู้กำกับอยากจะสื่อในเรื่องนี้หรือไม่

นอกจากนี้ หากมองว่าเรื่องนี้เป็นหนังแอ็คชั่น แม้ว่าจะมีฉากแอ็คชั่นที่เป็น long take ให้ดูกันฉ่ำๆ อยู่บ้าง แต่ถ้าเทียบกับหนังแอ็กชั่นที่ขายฉากแอ็กชั่นจริงๆ อาจจะยังด้อยกว่า แต่อย่างไรก็ยังเป็นหนังที่ขายฉากแอ็กชั่นที่สะใจอยู่หลายฉาก และมีเส้นเรื่องที่ชัดเจนไม่อ่อนเหมือนหนังแอ็กชั่นโดยส่วนใหญ่ ก็ถือว่าเป็นการรักษาสมดุลที่ดีเช่นกัน (แอบเสียดายเล็กน้อยที่อุตส่าห์หยิบยืมสถานที่ในไทยมาถ่ายทำ แต่เป็นการถ่ายให้เป็นประเทศฟิลิปปินส์มากกว่า เพราะตัวเอกของเรื่องอีกคนเป็นคนฟิลิปปินส์เชื้อสายเกาหลี แต่ก็ยังแอบดีใจอยู่บ้างที่มีฉากพูดถึงมวยไทยด้วย)

โดยสรุปแล้วนั้น เป็นหนังแนวไทกะญี่ปุ่นที่บางครั้งอาจจะเป็นไป ได้ว่าจะมีส่วนประกอบของบทและเรื่องราวที่ค่อยไปสักหน่อย เมื่อเทียบกับความประณีตบรรจงและละเอียดลอออลังการแล้วก็ยิ่งใหญ่ที่หนังพยายามขับมันออกมา มีดีแค่เพียงการสร้างมิติในความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร แต่หลักสำคัญอื่นๆกลับยังทำออกมาได้เพียงแต่ในระดับที่ตื่นเขินไปสักนิดสักหน่อย กลายเป็นหนังที่ยาวแทบ 3 ชั่วโมง ที่ไม่ได้ตราตรึงใจผู้ชมถึงเวลานี้ แม้กระนั้นมันก็ยังมีอะไรๆในหลายองค์ประกอบที่ช่วยช่วยเหลือไปถึงที่หมาย

ผู้ที่สามารถมอง Concrete Utopia แล้วรู้สึกบันเทิงใจได้ เป็นคนทุกเพศทุกวัย วัยรุ่น วัยทำงาน บิดามารดา ผู้สูงวัย สามารถมองหัวข้อนี้ได้และก็เข้าใจง่าย ไม่สลับซับซ้อน เล่ากล้วยๆตรงๆไม่อินดี้ แม้กระนั้นก็มิได้เล่ากล้วยๆแบบไม่มีศิลป์ ยังมีการแทรกสอดฉากเฮฮาร้ายที่ผู้แสดงหัวเราะแต่ว่าพวกเราหัวเราะไม่ออกอยู่บ้าง The Legend & Butterfly รวมทั้งมีเพียงแต่ไม่กี่ฉากในทีแรกๆๆแค่นั้น นอกเหนือจากนั้นก็เดินเรื่องตามเดิมว่ากำเนิดอะไรขึ้น แล้วเป็นเยี่ยงไรต่อ ด้วยเหตุดังกล่าวไม่ว่าใครก็สามารถมอง Concrete Utopia แล้วรู้เรื่อง และก็บันเทิงใจไปกับมันได้ง่ายๆแน่ๆ

木村拓哉主演 映画『レジェンド&バタフライ』キャラクターポスター情報解禁!|MOVIE|J Storm OFFICIAL SITE

รีวิวหนัง “The Exorcist: Believer หมอปราบผีเอ็กซอร์ซิสต์: ผู้เชื่อถือ” คัมแบ็กที่ไม่ค่อยสมศักดิ์ศรี

และก็นี่ก็คืออีกหนึ่งตำนานสยองขวัญของฮอลลิวูด ที่ยังคงมีความอุตสาหะที่ปัดฝุ่นรวมทั้งถือขึ้นมาจากกล่องเก่าๆมาหารับประทานใหม่อยู่เรื่อยกลับมาในคราวนี้กับ “The Exorcist: Believer หมอปราบผีเอ็กซอร์ซิสต์: ผู้เชื่อถือ” ที่ยังมากับเส้นเรื่องของภูติผีปีศาจอยู่ร่างมนุษย์ ที่ยังคงอิงข้อความสำคัญความเชื่อถือแล้วก็แรงเชื่อถือในศาสนาอีกเหมือนปกติ เพียงแต่ว่ามันจะยังเวิร์กอยู่กับโลกในตอนสมัยปี 2020s หรือไม่?

หมอปราบผีเอ็กซอร์ซิสต์: ผู้เลื่อมใส เล่าการของ แอนเจลา กับ แคคุณลีน เด็กสาววัย 12 ที่ล่องหนไปในป่าข้างหลังสถานที่เรียน ก่อนที่จะแสดงตัวกลับมาอีกรอบในอีก 3 วันให้ข้างหลัง แต่ว่าพวกเขากลับปราศจากความทรงจำอะไรก็แล้วแต่เกี่ยวกับขณะที่ล่องหนไป ก่อนที่จะเริ่มมีความประพฤติแปลกๆที่แสดงออกมาต่อครอบครัว ทำให้พวกเขามั่นใจว่าพวกคุณถูกอสุรกายอยู่ จนถึงจำต้องพึงจะพาผู้ชำนาญสำหรับเพื่อการขับไสขจัดปัดเป่าในตำนาน

สำหรับในภาคนี้ได้ผู้กำกับสายสยดสยองที่สมัย อย่าง “เดวิด กอร์ดอน กรีน” มารับหน้าที่ดูแลงานสร้าง กับร่วมเขียนบทหนังด้วย เขาพึ่งบรรลุความสำเร็จปังสุดๆจากหนังชุด Halloween ตรีภาคปัจจุบัน และก็นี่ถือว่าเป็นการตั้งความหวังใหม่ของแฟรนไชส์นี้ที่ต้องการจะปลุกปั้นสร้างออกมาให้ปังอีกหัวข้อ ก็แค่โชคร้าย The Legend & Butterfly ที่การกลับมาคราวนี้ของหมอปราบผีเอ็กซอร์ซิสต์ บางครั้งก็อาจจะยังไม่ถึงกับขนาด..ดุเดือดเลือดพล่านมากแค่ไหน

กลายเป็นว่า The Exorcist: Believer ค่อนข้างจะเพลย์เซฟในตนเองไปสักนิด จะหลอนก็หลอนไม่สุด จะโหดเหี้ยมก็ชั่วร้ายแบบไม่ถึง จะดรามาก็ค่อนข้างจะจืดจาง ทำให้ส่วนประกอบหลายๆอย่าง โดยยิ่งไปกว่านั้นการดำเนินตามเส้นเรื่องของหนังในภาคนี้ค่อนข้างจะน้อยลง ไม่หนักแน่นสักเท่าไหร่ เป็นหนังสยองขวัญที่แตะต้องไม่ถึงต่อมอารมณ์ใดๆก็ตามได้อย่างน่าผิดหวัง

บทหนัง The Exorcist: Believer ออกจะรสมือเบาไปหน่อย ท่ามกลางกระแสหนังสยองขวัญยุคนี้ที่ขันแข็งยังอย่างอื้ออึง ใครๆก็จำต้องแงะเอาข้อดีข้อดีของตนเองออกมาโชว์ แต่ว่าปรากฏว่าการกลับมาคราวนี้ของหมอปราบผีออกจะไม่มีเสน่ห์ ถึงจะมีแรงดึงดูด กลับไม่สามารถที่จะสร้างความสัมพันธ์ให้ผู้ชมรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเค้าเรื่อง บทหนังค่อนข้างจะเต็มไปด้วยจุดแหว่งในหลายๆจุด และก็ขาดความซาบซึ้งใจไป

ในช่วงเวลาที่โทนความหลอนของหนังก็ออกจะรสจืดจาง เล่าไปแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป กว่าจะเกริ่นปูเรื่องแล้วก็เข้าประเด็นก็ขว้างไป 30 นาทีแล้ว หากว่าหนังจะเปิดตัวของเรื่องมาได้ออกจะน่าดึงดูด แสงกระสือ เต็มเรื่อง imovie ด้วยการถือใส่เรื่องราวหายนะครั้งใหญ่ระดับนานาชาติเข้ามาโยงใยด้วย แต่แปลงเป็นว่าไม่อาจจะเชื่อมต่ออะไรกับภาพรวมได้ทั้งหมดทั้งปวง

นอกเหนือจากนี้ The Exorcist: Believer ยังอุตสาหะอย่างยิ่ง มานะที่จะเซอร์วิสแฟนหนังเริ่มแรก ด้วยการจับเอานักแสดงเก่าๆใส่เข้ามาด้วย แม้กระนั้นแปลงเป็นว่าใส่เข้ามาแบบดื้อรั้นๆได้ตำนาน “เอลเลน เบอร์สตีน” กลับมาเป็น คริส แม็กนีล อีกที กลับใส่เข้ามาแบบนั้นๆเสมือนสตูดิโอหนังอยากที่จะให้ใส่เข้ามาก็ใส่ โดยที่ไม่คิดถึงความมีเหตุมีผลอะไรสักเท่าไหร่นัก

My Review

Review Form...

Reviews

Loading Reviews...

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *