แสงกระสือ 2 สปอย

แสงกระสือ 2 สปอย

แสงกระสือ 2 สปอย

แสงกระสือ 2 สปอย ‘แสงกระสือ 2’ จะเป็นเรื่องราวหลังจากโศกนาฏกรรม ‘กระสือสาย บ้านโคกอีนวล’ ผ่านไป 22 ปี ‘น้อย’(แสดงโดย น้อย-กฤษดา แคลปป์) เลี้ยงดู ‘สาว’ (นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรีย์) ลูกสาวที่ได้รับเชื้อกระสือ ทำให้ น้อยและ ‘บาทหลวงออกัสติน’ (โจ คัมมินส์) ร่วมคิดค้นตัวยาที่สกัดจาก ‘ว่านกระสือ’ เพื่อใช้ในการรักษา สาวได้พบกับ ‘คล้าว’ หรือ ‘คลาว’ โดยบังเอิญ (เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม) บุตรบุญธรรมของบาทหลวงออกัสติน ที่มีความผิดปกติทางร่างกายแต่กำเนิด ความรักของสาวและคล้าวค่อยๆ ผลิบานพอๆ กับเชื้อร้ายในตัวของสาวที่เริ่มออกอาการมากขึ้นทุกวัน นักลงทุนชาวต่างชาติที่ต้องการตัว ‘กระสือสาว’ จึงว่าจ้าง ‘พันธุ์’ (ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม) อดีตทหารรับจ้างเพื่อมาไล่ล่า สาวจะรอดพ้นเงื้อมมือของพันธุ์ได้หรือไม่ ร่วมเอาใจช่วยเขาและเธอได้

ความรู้สึกหลังรับชมแสงกระสือ 2
ต้องบอกกันตามตรงว่า แสงกระสือ 2 เป็นผลงานที่มีทั้งส่วนดีและส่วนที่ต้องปรับปรุงพอสมควรสำหรับเรื่องนี้ในแง่เป็นภาคต่อของหนังม้ามืดในปี 2019 ที่เคยทำออกมาได้ดีมากๆ ขอพูดถึงส่วนที่ดีของเรื่องนี้กันก่อน สำหรับแสงกระสือ 2 ยังคงเล่นกับประเด็นของความรักต่างสายพันธุ์และพูดถึงเหล่าบุคคลที่เหมือนตัวประหลาดในสังคมตัวอย่างภาพยนตร์ตัวที่ 2 “แสงกระสือ 2” (Official Trailer 2) – YouTubeแสงกระสือ 2” พาพิสูจน์รักต่างสายพันธุ์ “นิ้ง-เจเจ” สัมผัสรสจูบครั้งแรก !!

ภาคนี้เราได้เห็นความแปลกประหลาดเพิ่มขึ้นจากภาคแรกที่มีแค่เพียงสายพันธุ์กระสือ แต่ในภาคนี้จะเสริมบทของพระเอกอย่าง คล้าว ที่เกิดมาพร้อมความผิดปกติที่มีผิวเผือก สำหรับคนในช่วงยุคนั้นจึงถูกมองว่าเขาเป็นเหมือนตัวประหลาดและ สาว ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ แสงกระสือ2 เพื่อรักษาอาการเป็นกระสือ พาร์ทของส่วนนี้จึงเน้นไปที่ความดราม่า โรแมนติกที่หนังพยายามปูให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสองตัวละครนี้ตั้งแต่เด็กจนปัจจุบันว่าทั้งสองผ่านอะไรกันมาและหลงรักกันได้อย่างไร กับความรักที่ผิดแปลกจากคนปกติ ในยุคนั้นคนส่วนใหญ่จะรังเกียจคนที่แตกต่างจากตนและหนังยังคงพยายามรับไม้ต่อหัวใจของเรื่องราวนี้จากภาคแรกมาพัฒนาแก่นที่จะสื่อถึงคนดูให้เพิ่มมากขึ้น

และอีกส่วนที่น่าชื่นชมคือการพัฒนาบทของตัวละคร น้อย จากภาคแรกที่ได้พี่น้อย วงพรู มารับบทนี้ มันทำให้เราได้เห็นพัฒนาการของตัวละครเพราะถ้าใครดูภาคแรกจะรู้ว่าบทบาทของ น้อย ในภาคที่แล้วค่อนข้างจะเจอเรื่องราวหนักหน่วงทั้งรักแรกของเขาอย่าง สาย ที่มีเชื้อกระสือจนเขาทุ่มเทหาวิธีรักษาแต่ก็ไม่สามารถช่วยสายไว้ได้ จนมาถึง สาว ลูกสาวที่ได้รับเชื้อกระสือมาตั้งแต่กำเนิด รวมถึง ดาริน ภรรยาผู้ตายจากไป ทำให้เขาต้องกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวหาทางรักษาอาการไม่ให้เชื้อกระสือของสาวแผงฤทธิ์ น้อยในภาคนี้จึงทำให้เราได้เห็นถึงความรักความอบอุ่นของชายที่เติบโตมากับปมในจิตใจกลายเป็นพ่อที่รักลูกสาวมาก พร้อมจะปกป้องและหาวิธีรักษาลูกสาวของตัวเองให้สามารถกลับมาเป็นคนปกติให้ได้ บทบาทนี้เมื่อได้ พี่น้อย วงพรูมาแสดงการสื่อสารยิ่งลึกและมีมิติเพิ่มกว่าเดิม เรียกว่าเป็นบทบาทที่ประคองหนังเรื่องนี้ไว้ได้ดีตลอดทั้งเรื่อง เราค่อนข้างชื่นชอบพาร์ทความรักพ่อลูกมากกว่าพาร์ทโรแมนติกของพระนางด้วยซ้ำ

ภาคนี้จะปรับเข้าสู่แนวทางหนังสัตว์ประหลาดเต็มรูปแบบ ทั้ง กระสือ

และคู่ปรับสุดอาฆาตอย่าง กระหัง จากในภาคแรกก็ยังมีบทบาทในภาคนี้เช่นกัน โทนหนังจะเน้นความเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าภาคแรกที่จะก้ำกึ่งระหว่างเรื่องราวความเชื่อเกี่ยวกับผีสางของบ้านเรา กับสายพันธุ์มอนสเตอร์ โดยนำเสนอ กระสือ ในภาคนี้นั้นให้เกิดจาก ปรสิตที่อาศัยต้องร่างกายของหญิงสาวและแพร่พันธ์ผ่านทางน้ำลาย ผิดกับสาเหตุของการติดเชื้อของกระหังที่ยังคงใส่ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องคุณไสยสไตล์ไทยมานำเสนอ แต่แฝงปริศนาที่ค่อนข้างไปทางวิทยาศาสตร์

เราจึงได้เห็นพัฒนาการของตัวสัตว์ประหลาดทั้งสองสายพันธุ์ที่มีความดุร้ายและมีสัญชาตญาณของสัตว์มากกว่าภาคแรกที่แม้จะกลายร่างก็ยังควบคุมสติได้อยู่ ซีนกลายร่างในภาคนี้จึงทำออกมาได้โดดเด่นกว่าภาคแรก ที่ดีไซน์ออกมาให้เห็นความเจ็บปวดทรมานเหมือนการติดเชื้อโรคร้าย และแม้จะควบคุมมันหรือกินยาระงับอาการก็ไม่สามารถช่วยลดและรักษาอาการเหล่านี้ได้ เรื่องนี้จึงเน้นขายความเป็นมอนสเตอร์มากกว่าหนังผีสยองขวัญ ซึ่งจริงๆแล้ว แสงกระสือ แม้จะเอาตำนานผีไทยมาใช้แต่ก็ไม่ได้จะทำออกมาในทิศทางของหนังผีสยองขวัญแสงกระสือ 2 สปอย  เพราะไอเดียตั้งต้นนั้นทีมสร้างตั้งใจทำให้เป็นแนวทางสัตว์ประหลาดอยู่แล้ว จึงไม่ต้องห่วงเรื่องจะมีฉากจัมสแกร์ให้ตกใจ

ที่เล่ามานั้นคือส่วนดีสำหรับไอเดียการทำภาคต่อเน้นสร้างความแปลกใหม่ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนดาบสองคม เมื่อการทำภาคต่อของผลงานที่มันดีอยู่แล้วถ้าไม่ดีเทียบเท่าหรือดีกว่าจะต้องมีรับผลการเกิดข้อเปรียบเทียบอย่างแน่นอนไม่เว้นแม้แต่เรื่องนี้ แม้จะขายไอเดียความแปลกใหม่ได้น่าสนใจ แต่สิ่งที่ขาดไปและสำคัญที่สุดคือ เสน่ห์ของเรื่องนี้ หนังไม่สามารถทำออกมาได้ดีเหมือนภาคแรก แม้จะปูเรื่องให้เรามีอารมณ์ร่วมกับตัวละครแต่เรากลับไม่สามารถอินกับตัวละครในเรื่องนี้ได้เท่ากับภาคแรกและตลอดเวลาการปูเนื้อหาของภาคนี้มันไม่สามารถบิ้วเราให้ตื่นเต้นแต่ทำออกมาได้เอื่อยบวกกับน่าเบื่อ และการดำเนินเรื่องที่ซ้อนกันหลายตัวละครจนยุ่งเหยิง ส่งผลให้ช่วงท้ายเรื่องเกิดปัญหาที่ไม่สามารถหาทางลงให้ตัวละครจบได้แบบดีเลยสักตัว แม้จะได้ พี่น้อย วงพรูมาช่วยผยุงหนังไว้เกือบทั้งเรื่องก็ไม่สามารถพาหนังไปสู่จุดที่ดีได้

หากพูดถึงภาพรวมเป็นหนังภาคต่อที่มีทั้งจุดดีในด้านไอเดียความแปลกใหม่อยากนำเสนอสัตว์ประหลาดสายพันธุ์ไทยในวงการหนังบ้านเรา แต่สอบตกในส่วนของการเป็นหนังภาคต่อที่ภาคแรกทำไว้ดีและประทับใจคนดู จะบอกว่าเข้าขั้นแย่จนดูไม่ได้เลยก็คงไม่ถึงขนาดนั้น เอาเป็นว่าถ้าคนที่เคยดูและชื่นชอบภาคแรกอาจจะผิดหวังกับภาคนี้ในแง่การเป็นงานภาคต่อ แต่ถ้าเข้าไปชมแบบเปิดใจว่านี้คือหนังมอนสเตอร์ไทยอีกเรื่อง ก็ถือว่าไม่เลวร้ายจนทำให้เราเกลียด ยิ่งถ้าใครชอบการแสดงของพี่น้อย วงพรู นี้เป็นอีกงานที่โชว์พลังการแสดงออกมาได้ดีอีกเรื่อง

หลังจากเลื่อนกำหนดฉายไปนานหลายเดือน ในที่สุด แสงกระสือ 2 ภาพยนตร์โรแมนติกสยองขวัญจากค่าย เนรมิตรหนัง ฟิล์ม ก็ได้กลับมาสานต่อเรื่องราวความรักต่างสายพันธุ์กันอีกครั้ง พร้อมได้ ดี้-ปภังกร ปุญจันทรักษ์ ที่เคยฝากผลงานโฆษณาและภาพยนตร์สั้นมาแล้วมากมาย มานั่งแท่นผู้กำกับ รวมถึงทัพนักแสดงมากฝีมือที่จะมาร่วมรับบทนำ ประกอบด้วย เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม, นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรี่ย์, น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์, เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ, ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม และ โจ คัมมินส์

ภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องราวต่อจากภาคแรกนาน 30 ปี เมื่อ น้อย (น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์) ที่ได้รับเชื้อกระสือมาจาก สาย จึงส่งผลให้ สาว (นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรี่ย์) ลูกสาวของเขากลายเป็นกระสือตั้งแต่ยังเด็ก น้อยจึงต้องร่วมมือกับ บาทหลวงออกัสติน (โจ คัมมินส์) เพื่อคิดค้นยารักษาที่สกัดจากว่านกระสือ ด้วยความหวังว่าจะช่วยให้ลูกสาวกลับมาเป็นปกติ

ขณะเดียวกัน สาวก็ได้มาพบกับ คลาว (เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม)
บุตรบุญธรรมของบาทหลวงออกัสติน ที่มีความผิดปกติทางร่างกายแต่กำเนิด แสง กระสือ 2 และนั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความรักต่างสายพันธุ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตของทั้งคู่ไปตลอดกาล

หากมองย้อนกลับไปใน แสงกระสือ ภาคแรกที่ออกฉายในปี 2562 หัวใจสำคัญที่ส่งให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์ คือการผสมผสานองค์ประกอบหลายๆ ส่วนออกมาได้อย่างกลมกล่อม ทั้งพาร์ตดราม่า บรรยากาศสยองขวัญ ความโรแมนติก ฉากแอ็กชันแฟนตาซีในช่วงท้ายเรื่องที่เหนือความคาดหมาย แสงกระสือ 2 สปอย ไปจนถึงประเด็นสำคัญของเรื่องที่เล่าถึงแง่มุมความรักของชายหนุ่มและหญิงสาวต่างสายพันธุ์ ที่สะท้อนภาพของการ ‘ยอมรับ’ ในความแตกต่างของผู้คน และ ‘รัก’ ในตัวตนของคนคนนั้นจากภายในนั้นมากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก

มาถึง แสงกระสือ 2 ผู้เขียนแอบรู้สึกว่าเรื่องราวในภาคนี้ดูจะขาดเสน่ห์อะไรบางอย่างไป จนทำให้ตัวภาพยนตร์แอบ ‘ไม่กลมกล่อม’ เท่าไรนักเมื่อเทียบกับภาคแรกแสงกระสือ 2 หนัง ภาคต่อ แสงกระสือ นิ้ง ชัญญา เจเจ กฤษณภูมิ แสดง

จุดสังเกตข้อแรกที่เราแอบรู้สึกเสียดาย เห็นจะเป็นประเด็นหลายๆ อย่างที่ภาพยนตร์ต้องการนำเสนอ แต่กลับ ‘ไปไม่สุดในทางใดทางหนึ่ง’ เริ่มตั้งแต่เส้นเรื่องความรักโรแมนติกของคู่พระนางอย่าง สาว และ คลาว ที่ตัวภาพยนตร์ค่อนข้างให้เวลากับการปูเรื่องราวของทั้งคู่นานพอสมควร แต่กลับกลายเป็นว่าภาพยนตร์ไม่ได้ฉายภาพหรือขับเน้นให้เราเห็นถึง ‘การโอบกอดความแตกต่าง’ อย่างชัดเจนมากนัก แต่จะเน้นไปในเชิงบรรยากาศโรแมนติกที่ทั้งคู่ได้ใช้เวลาร่วมกันเสียมากกว่า’นิ้ง-เจเจ’ ชวนพิสูจน์ตำนานรักบทใหม่ ‘สัตว์ประหลาด-ตัวประหลาด’ ใน ‘แสงกระสือ 2’

หรือจะเป็นประเด็นของตัวละครคลาวที่นอกจากจะเป็นโรคผิวเผือกแล้ว ตัวเขายังมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ตัวภาพยนตร์ก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงที่มาที่ไปของความลับดังกล่าวอย่างชัดเจนนัก รวมถึงในระหว่างทาง ตัวภาพยนตร์ก็ไม่ได้วางคำใบ้ให้เราได้คาดเดาความเป็นมาของความลับดังกล่าวอีกด้วย มันจึงส่งผลให้ในช่วงบทสรุปของเรื่อง ภาพยนตร์กลับไม่สามารถทำให้เรามีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้อย่างที่ควรจะเป็น

รวมถึงเส้นเรื่องของตัวร้ายหลักที่นำแสดงโดย ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม แสง กระสือ 2 ที่เรายังแอบสงสัยกับภูมิหลังของตัวละครอยู่พอสมควร และแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะพยายามผูกปมปัญหาที่ขับเคลื่อนให้ตัวละครดำเนินไปข้างหน้า แต่ภาพยนตร์ก็ไม่ได้หยิบปมปัญหาดังกล่าวมาใช้อย่างเต็มที่ จึงทำให้ตัวละครตัวนี้ดูไม่มีมิติเท่าไรนัก

ด้วยความที่ตัวภาพยนตร์มีหลายประเด็นที่ต้องการนำเสนอ แต่กลับบาลานซ์เรื่องราวไม่ค่อยลงตัวนัก แอบมีความครึ่งๆ กลางๆ อยู่ประมาณหนึ่ง มันจึงส่งผลให้เราไม่รู้สึกผูกพันหรืออยากเอาใจช่วยตัวละครภายในเรื่องอย่างที่ควรจะเป็น

ขณะเดียวกัน หนึ่งในจุดเด่นสำคัญที่คอยช่วยตรึงให้เราอยู่กับภาพยนตร์ไปได้ตลอดทั้งเรื่อง คือการแสดงของทีมนักแสดงนำทุกคน โดยเฉพาะ น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ในบทบาทของ น้อย ซึ่งได้รับการต่อยอดมาจากภาคแรก ที่ถ่ายทอดบทบาทของตัวเองออกมาได้อย่างลึกซึ้ง กับบทของพ่อผู้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาลูกสาวของตัวเอง ควบคู่ไปกับการปกป้องลูกสาวจากภัยอันตรายต่างๆ และการต้อง ‘อดทน’ กับการเห็นลูกสาวต้องกลายร่างเป็นกระสือในทุกค่ำคืน

อีกหนึ่งจุดเด่นที่เราชื่นชอบ คือการตีความต้นกำเนิดของกระสือที่แตกต่างไปจากตำนานกระสือฉบับอื่นๆ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้กำกับและทีมสร้างได้จินตนาการเรื่องราวได้อย่างสดใหม่และน่าสนใจ พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้ผู้สร้างสามารถสานต่อเรื่องราวไปได้อย่างกว้างขวางในอนาคต

ในภาพรวมแล้ว ส่วนตัวผู้เขียนค่อนข้างชอบ แสงกระสือ ภาคแรกมากกว่า แสงกระสือ 2 พอสมควร ด้วยความที่ตัวภาพยนตร์มีหลายประเด็นที่ต้องการนำเสนอ แต่ภาพยนตร์กลับพาเราเข้าไปสำรวจประเด็นเหล่านั้นเพียงผิวเผินเท่านั้น จนส่งผลให้เราไม่มีความรู้สึกร่วมกับประเด็นเหล่านั้นอย่างที่ควรจะเป็น ขณะที่ แสงกระสือ ภาคแรก แม้จะมีข้อสังเกตให้กล่าวถึงอยู่บ้าง แต่หากมองในภาพรวมเรากลับรู้สึกว่าตัวภาพยนตร์มีกลวิธีนำเสนอที่กลมกล่อม และชวนให้เราอยากเอาใจช่วยตัวละครภายในเรื่องมากกว่า

ontheteenbeat

My Review

Review Form...

Reviews

Loading Reviews...

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *